จั๊มป์

เบาหวาน อยู่กับมันได้ ไม่ต้องกังวล โดย จั๊มป์ #iHear

จาก พัชร
น้องจั๊มป์ หนึ่งในนักร้องเสียงดีที่ร่วมงานกับไอเฮียร์มานาน เป็นเบาหวานมาตั้งแต่เด็ก แต่น้องใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติมากจนเพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกันแทบไม่มีใครสังเกตครับ สุขภาพก็ดีกว่าพวกเราหลายคนเสียอีก บทความนี้น้องจั๊มป์เขียนเองเพื่อฝากให้กับเพื่อนๆหรือพี่ๆที่เป็นเบาหวานด้วยกันนะครับ 🙂

การมีโรค ที่รักษาครั้งเดียวจบ คุณโชคดี
การมีโรค ที่ต้องรับการรักษาต่อเนื่อง คุณไม่ได้โชคร้าย แต่คุณจะลำบากมาก

ข้อดีของมันคือ คุณจะระวังและใช้ชีวิตด้วยความมีสติ ไม่ประมาทตลอดเวลา
—–คิดบวกไม่ได้ ก็มีแต่ทุกข์—–

จั๊มป์

จั๊มป์

โรคเบาหวาน

โรคเบาหวานจัดเป็นโรคทางพันธุกรรม ที่ในปัจจุบันเป็นแล้วไม่มีหนทางรักษาให้หายขาดได้ แต่เราสามารถอยู่กับมันได้นานเท่าอายุขัยของเราโดยไม่มีอวัยวะใดๆในร่างกายเสื่อมเสีย หรือเสียหายเลยก็เป็นไปได้ จั๊มพ์จะขอกล่าวถึงอวัยวะไดบ้างที่เสี่ยงต่อการเสื่อมเสีย ในกรณีต่อๆไปนะคร้าบ โดยจะขอแบ่งโรคเบาหวานออกไปเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่ 1 คือพึ่งอินซูลิน (Type1) และชนิดที่ 2 คือทานยา(Type2) บางคนอาจจะเคยได้ยินและเข้าใจว่าเบาหวานมีแบบเปียก กับแบบแห้ง เดี๋ยวจะไขข้อข้องใจตรงนี้ให้เช่นกัน ว่ามันคืออะไร ซึ่งที่จั๊มพ์เอง มีโรคประจำตัวนี้เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อายุ 12 ปีแล้ว ชนิดที่จั๊มเป็นคือ ชนิดที่ 1 คร้าบ ^_^

อินซูลินคืออะไร สำคัญยังไง?


อินซูลิน ก็คือฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดนั่นเอง มันควบคุมน้ำตาลในร่างกาย โดยการนำน้ำตาลไปแปรรูปเป็นพลังงานผ่านกล้ามเนื้อ ผิวหนัง เพื่อให้เรามีแรง ยืน เดิน นั่ง นอน ในแต่ละวัน หล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อ สมอง สรุปคือทั้งร่างใช้น้ำตาลเป็นพลังงาน 
 ในคนปกติหากน้ำตาลมีมาก ร่างกายจะยิ่งผลิตปริมาณอินซูลินให้เพียงพอที่จะใช้ควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่ปกติ หมายความว่า ยิ่งกินมาก น้ำตาลก็จะถูกสะสมตามชั้นผิวหนัง กล้ามเนื้อมาก และยิ่งถ้าไม่มีการเผลาผลาญไขมันออกไปโดยการ ออกกำลังกาย ก็จะกลายเป็นไขมันสะสม ซึ่งเป็นที่มาของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
 คนที่เป็นเบาหวาน อาจจะมีอินซูลินไม่เพียงพอต่อปริมาณน้ำตาลที่มีในร่างกาย ไตจึงต้องทำการกรองน้ำตาลเมื่อระดับน้ำตาลสูงกว่าระดับเขื่อนไตจะกรองได้ ร่างกายก็ต้องขับออกทางปัสสาวะ นั่นคือเหตุผลที่ทำไมคนเป็นเบาหวานปัสสาวะบ่อย ผลที่ตามมาคือ เมื่อร่างกายไม่ได้รับพลังงานจากน้ำตาล กล้ามเนื้อ ไขมันที่มีอยู่ในร่างกายที่ถูกสะสมเก็บไว้ใช้ยามสำรองที่เรียกว่าไกลโคเจน จะถูกนำออกมาใช้แทน ทำให้ร่างกายมีน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ขาดน้ำ อ่อนเพลีย เป็นตะคริวบ่อย หิว ทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน เพราะร่างกายไม่ได้รับพลังงาน บางคนอาจจะคิดว่า ดีสิ จะได้ผอม แต่อ่านสิ่งที่กำลังจะกล่าวต่อไปนี้ก่อนนะจ๊ะ… เพราะสิ่งที่ตามมาและน่ากลัวมากคือโรคแทรกซ้อน

โรคแทรกซ้อนต่างๆ

ไตพัง..ปริมาณน้ำตาลที่ไม่ถูกนำไปใช้และสูงเกินปกติเป็นเวลานาน ร่วมกับไตที่ต้องกรองปริมาณน้ำตาลจำนวนมากอยู่บ่อยๆ ในระยะยาว น้ำตาลจะไปฉาบผนังไต ทำให้กรองของเสียไม่ได้ เลือดไม่ถูกกรองของเสียออกก็จะเป็นพิษ ก็ต้องเข้ารับการรักษาที่รพ.เพื่อฟอกเลือด ตั้งแต่ 2-5 ครั้ง ต่ออาทิตย์ นะจ๊ะ ลองคิดดูว่า หาเส้นเลือดเจาะเพื่อถ่ายเลือดไปเข้าเครื่องฟอกเลือด บ่อยจนหาเส้นไม่ได้ คงไม่ต้องบอกต่อแล้ว ว่ามันจะเป็นยังไง

ปลายประสาทถูกทำลาย..เนื่องจากความดันเลือดเมื่อน้ำตาลไม่คงที่ ไปทำลายปลายประสาท ทั้งมือ เท้า เมื่อเป็นแผล จึงไร้ความรู้สึก กระทั่งแผลอักเสบ ติดเชื้อ ตัดมือ ตัดเท้าตามที่เคยได้ยินข่าวกัน น้ำตาลที่สูงทำให้แผลเปิด เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย แผลเน่า ลาม ลองนึกถึงกรณีเราเอาขนมหวาน วางไว้นอกตู้เย็นตอนเช้า ตอนบ่ายก็บูดแล้ว ก็ลักษณะเดียวกัน เชื้อแบคทีเรีย และเชื่อรา จะเจริญเติบโตได้ดีเวลาแผลชื้น เปียก ยิ่งอักเสบ บวมแดง ยิ่งเร็วมาก ยาทาแผล รักษาได้แค่ปากแผล แต่เลือดหวานๆที่มาเลี้ยงปากแผลบ่อยๆ ยิ่งทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโต นะจ๊ะ บางคนอาจจะคิดว่าเป็นแผล ค่อยคุมน้ำตาลละกัน ขอบอกเลยว่า คิดผิดมหันต์ เพราะเลือดคนเรา มีอายุ 3 เดือน ก็จะทยอยผลิตใหม่อยู่เรื่อยๆ ปริมาณน้ำตาล(มากๆ)ที่เกาะเกร็ดเลือดตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา มันจะไหลเวียนมาหาแผลคุณจนได้แหละจ้า นี่แหละจ๊ะเบาหวานเปียกที่บางคนเข้าใจ จริงๆแล้วคนที่ไม่คุมน้ำตาลเท่านั้น ที่จะเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าคนนั้น คนนี้ โชคดีที่เป็นแบบแห้ง(คือแผลหายเร็ว) แต่นั่นเป็นเพราะเค้าควบคุมได้ดีต่างหาก

ต้อกระจกตา..น้ำตาลที่เกินอยู่ในร่างกาย ไม่ได้ถูกใช้อย่างถูกที่ถูกทาง ก็มาเกาะตรงกระจกตาทีละนิดๆ ทำให้เป็นต้อกระจก นาเข้า มองอะไรไม่เห็น ก็ตาบอด ก็ต้องมาลอกกระจกตาออก หากลอกเสร็จก็ต้องพักรักษาตัวอยู่อีกพักใหญ่ๆ ก้มไม่ได้ ยกของไม่ได้ เบ่งถ่ายไม่ได้(ทรมานนะ) เพราะจะทำให้เลือดวิ่งมาที่ปากแผลมากและเร็วเกินไป แผลฉีกผ่าใหม่ ไม่คุ้มเลย

เลือดเป็นพิษ..เมื่อระดับน้ำตาลที่สูง อินซูลินไม่เพียงพอ หรือขาดอินซูลิน ทำให้ร่างกายต้องสลายไขมัน (ที่บอกไปข้างต้นว่าผอมลงเร็ว) เพื่อให้พลังงาน ทำให้เกิด กรดคีโตน (KETONE) ทำให้ช็อกได้เฉียบพลัน กรณีนี้ มีเพื่อนสนิทจั๊มพ์เองคนนึง ก้าวผ่านความตายแบบนั้นมาแล้ว เค้าบอกว่า มันน่ากลัวมาก หมอต้องปั้มหัวใจขึ้นมาถึง 2 ครั้ง สาเหตุคือไม่สามารถคุมน้ำตาลในเลือดได้ดีนั่นเอง

ความดัน หัวใจ จะเป็นผลสือเนื่องตามมา

ทั้งหมดที่กล่าวมา คือสาเหตุที่เป็นต้นๆของการเสียชีวิตของผู้ที่ไม่รักษาระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงปกติ ผู้ที่เสียชีวิตจากการช็อกน้ำตาลสูงมีน้อยกว่าเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อน แต่ละข้อที่กล่าวมา จะมาหาแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว อยู่ที่เราควบคุมมันได้ดีแค่ไหน ดังนั้นหากควบคุมมันได้ดี จะไม่มีสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น เกิดขึ้นแน่นอน และคุณจะใช้ชีวิตอยู่กับมันได้เหมือนคนธรรมดาทั่วไปเลย
ระดับน้ำตาลในเลือด
 คนเป็นเบาหวานทั่วไป ทราบดีอยู่แล้วว่าร่างกายของคนเราควรจะมีระดับน้ำตาลที่เหมาะสม ซึ่งในสมัยก่อน (จั๊มพ์เป็นใหม่ๆ) เคยได้ยินหมอพูดถึงระดับน้ำตาลที่ปกติของคนเราคือ 80-120 mg/dL แต่ในปัจจุบัน ระดับน้ำตาลปกติที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดคือ 70-110 mg/dL คำถามที่ตามมาคือ ถ้าต่ำกว่าระดับนี้ จะมีผลยังไง คำตอบคือมีผลชนิดเฉียบพลัน ต้องได้รับการแก้ไขให้ทันท่วงที อาการที่แสดงออกมาคือ รู้สึก มึน งง เหงื่อออก มือสั่น หัวใจเต้นเร็ว หงุดหงิด และอาจทำให้ช็อกหมดสติ บางคนอาจจะไม่มีอาการใดๆเลยก่อนจะหมดสติ(ไม่รู้ตัว) หากหมดสติ สมองจะขาดออกซิเจน ทำให้เซลล์สมองตายทีละนิดๆ ซึ่งมีผลกับความจำ บางคนเสื่อมมาก เสื่อมน้อย ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่หมดสติไปมากน้อยแค่ไหน บางกรณีที่หาทางแก้ไขไม่ทันอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ อาการน้ำตาลต่ำสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เป็นเบาหวานเท่านั้น แต่คนเป็นเบาหวาน จะมีสิทธิ์เป็นได้มากกว่า (กรณีที่ควบคุมดีเกินไป 
 การแก้ไขกรณีน้ำตาลต่ำคือ ดื่มน้ำผลไม้ หรือน้ำหวานเข้มข้น(เร็วที่สุด) หาไม่ได้ก็เคี้ยวลูกอม ในระดับปริมาณที่พอเหมาะ ส่วนนี้ จั๊มพ์ไม่สามารถบอกได้ว่า ควรดื่มแค่ไหนพอ เพราะระดับน้ำตาลที่ต่ำบางคนอาจจะไม่เท่ากัน 40, 50, 60,70 ดื่มน้ำหวาน กินลูกอมในปริมาณเท่านี้แล้ว จะขึ้นมาแค่ไหน ผู้ที่เป็นเบาหวาน ควรปรึกษาหมอ และสังเกตด้วยตัวเอง ดีที่สุด บางคนอาจจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการน้ำตาลในร่างกายว่าสูงหรือต่ำ เพราะฉะนั้น เพื่อความแน่ใจ ควรมีเครื่องเจาะเลือดส่วนตัววัดระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อได้รับการแก้ไขได้ทันท่วงที และถูกทาง ดีที่สุด เพราะหากเข้าใจผิด แยกแยะอาการไม่ออก คิดว่าน้ำตาลต่ำ ทั้งที่ตอนนั้น น้ำตาลอาจจะ 3-400 ยิ่งกินน้ำหวานเข้าไปอาการจะยิ่งหนัก

ทำไมน้ำตาลถึงต่ำ? อาการน้ำตาลต่ำเกิดได้หลายกรณีเช่นกันคือ

• มีปริมาณอินซูลินมากเกินไป ทำให้เผาผลาญระดับน้ำตาลจนเกินพอดี และร่างกายเปลี่ยนสภาพไกลโคเจนมาเป็นพลังงานไม่ทัน เพราะการออกฤทธิ์ที่รวดเร็วของยา หรือปริมาณน้ำตาลที่ทีไม่เพียงพอ
• ทานอาหารน้อยเกินไป
• ออกกำลังกายหนักเกินไป

หลัก 3 อ. (อินซูลิน/อาหาร/ออกกำลังกาย) ทุกอย่างต้องสมดุล อะไรมากกว่า น้อยกว่า ร่างกายจะมีอาการทันที จั๊มพ์ได้ยันต์นี้มาจากอาจารย์หมอท่านหนึ่งที่โรงพยาบาลมอ. ซึ่งมันเป็นหลักให้จั๊มพ์ยึดถือและปฏิบัติมาตลอด

ชนิดของเบาหวาน


Type 1 (ชนิดที่ 1) จั๊มพ์เองเป็นชนิดนี้แหละ จะเกิดแบบในเด็กเท่านั้น มีน้อยมากที่จะเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ที่มีอายุมากแล้ว เบาหวานชนิดนี้เกิดจาก ตับอ่อน (อวัยวะสำคัญในการผลิตอินซูลิน) ไม่ทำงาน ทำให้ร่างกายขาดอินซูลิน ควบคุมน้ำตาลในร่างกายไม่ได้ ต่อให้กินน้อย หรือไม่กิน ซึ่งปกติคนเรา จะมีอินซูลินระดับต่ำ ที่พอเหมาะกับร่างกาย ณ ขณะนั้นมาควบคุมตลอดเวลา ไม่มีเวลาไหนที่ร่างกายไม่มีอินซูลิน การรักษามีหนทางเดียวคือ ต้องฉีดเพื่อทดแทนเท่านั้น กรณีนี้ที่เคยทราบมา ในประเทศไทย มีเด็กที่เป็นเบาหวานตั้งแต่แรกเกิด การดูแลช่วงแบเบาะนั้นยากมาก เพราะต้องควบคุมน้ำตาลไม่ให้ต่ำไปหรือสูงไป และเด็กที่เป็นเบาหวานแบบนี้ มีมากขึ้นเรื่อยๆ การรักษาของ ชนิดนี้ บางคนอาจจะคิดว่า โห..เป็นหนักมากเลยหรอ ไม่ควบคุมหรอ ต้องฉีดเลยหรอ ขอไขความกระจ่างให้นะคร้าบ เบาหวานชนิดนี้ ไม่มีตัวยากินชนิดไหน ที่กินเพื่อไปกระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตอินซูลินได้ เพราะมันไม่ผลิตแล้ว จึงต้องฉีดเท่านั้น ซึ่งตัวยาที่ใช้แต่ละชนิด ฤทธิ์ของยาที่ออกก็ต่างกัน อยู่ที่การวินิจฉัยของหมอ ว่าจะใช้ยาตัวใด ที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไข้ให้มากที่สุด ชนิดอาหาร เวลากิน เวลานอน การออกกำลังกาย สำคัญและสัมพันธ์ควบคู่กันไป คนไข้ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะเบาหวานชนิดนี้ระดับน้ำตาลแกว่งสูงๆต่ำๆได้ง่ายกว่าชนิดที่ 2 ซึ่งแน่นอน ไม่เป็นผลดีกับปลายประสาทในระยะยาวแน่นอน 
 ตอนแรกที่จั๊มพ์เป็นก็ตกใจนะ แต่ก็ยังเด็กเลยรู้สึกสนุกที่ได้ฉีดยา(ตัวเอง) แต่พอตอนนี้หรอ ถ้าให้ฉีดหมื่นเข็มคุมทีละสิบปี จั๊มพ์ยอม ก่อนหน้านี้ ควบคุมไม่เป็น นับปริมาณแคลอรี่ยังไม่ได้ พอได้เรียนรู้ (หมอและพยาบาลผู้ชำนาญการสอน) จึงเริ่มหันมาควบคุม นับคาร์โบไฮเดรตที่พอเหมาะกับยา ปรับยาเองได้ ฉีดแบบไหนพอดี กินแค่ไหน พอดี ก็เบาใจเรื่องน้ำตาลที่สูงเกินไปได้เยอะมาก เมื่อก่อนไม่เคยคุม ไม่ชอบเจาะเลือด เพราะเจ็บ แต่ไม่เคยหยุดฉีดยา คิดเอาเองว่า ออกกำลังกายหนัก กินเยอะได้ น้ำตาลไม่สูง แต่เรากินเยอะไป วันไหนไม่กินก็ไม่กิน วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่สอนเราได้อย่างดี จึงต้องหันมาควบคุมอย่างเคร่งครัด (มีแหกกฎตัวเองบ้างแห่ะ..ๆ) แต่เจาะเลือด จากเดือนละครั้ง กลายเป็นวันละครั้งเป็นอย่างน้อย ตอนนี้ควบคุมได้ในระดับนึงแล้วคร้าบ


Type 2 (ชนิดที่ 2) เกิดในแบบผู้ใหญ่ ที่กินแต่อาหารที่ไม่มีประโยชน์ เกิดเป็นไขมัน และน้ำตาลสะสมในร่างกาย ในปัจจุบัน หมอที่จั๊มพ์รักษาได้แจ้งว่า วัยรุ่นสมัยนี้ ต้องควบคุมอาการกันตั้งแต่อายุ 20 หากไม่อยากเป็นเบาหวานตอนแก่ๆ เพราะสมัยนี้ อาหารที่ทำให้ร่างกายสะสมน้ำตาลมีมาก คืออาหารประเภท Junk Food เบาหวานชนิดนี้ บางคนอาจจะเป็นช่วงกำลังตั้งครรภ์ บางคนเป็นเพราะภาวะไตเสื่อม อายุมาก บางคนเป็นเพราะ กินล้วนๆ!! เบาหวานชนิดนี้ การรักษาเริมจากการกินยา ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย หากควบคุมได้ไม่ดี ก็ต้องเพิ่มยาไปจนกระทั่ง ฉีดยาควบคู่กันไปด้วย ซึ่งแน่นอน เบาหวานชนิดที่เริ่มจากกินยาจนต้องฉีดยาแบบนี้แหละ คือควบคุมไม่ได้ ปรับเปลี่ยนวิธีการกินของตัวเองไม่ได้ ยากินที่หมอให้ก็คุมไม่อยู่แล้ว จึงต้องฉีด ขอให้รู้ไว้เลยว่า อันตรายละคร้าบ ไตพังเร็วกว่าชนิดแรกเพราะต้องกรองทั้งยาที่กินทุกวัน แล้วยังกรองน้ำตาลที่ล้นเขื่อนไตอีกตลอดเวลา 
 ผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 จะติดปัญหาการควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติได้ค่อนข้างยาก เนื่องมาจาก ติดวิธีการกินเดิมๆจนเป็นนิสัย ไม่กินก็รู้สึกอยากกิน จึงเกิดการแอบกิน โกหกหมอเวลาไปหาหมอโดยการคุม 1 วัน ก่อนหาหมอทำให้น้ำตาลออกมาดูดี แต่รู้ไว้เถิดก่อนโกหกหมอ หมอสามารถหาค่าเฉลี่ยน้ำตาลช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ว่าดีหรือไม่ดีตามผลเลือดที่คนไข้โกหกหมอ โดยการเจาะตรวจ Hb A1c คือหาค่าเฉลี่ย น้ำตาลในเลือด คราวนี้ หมอรู้ชัดเจน ว่าคุมได้หรือไม่ ค่าที่ดีของผู้ที่เป็นเบาหวานควรอยู่ในระดับ 6.5- 7 mg% หากเกินกว่านี้ โรคแทรกซ้อน จะตามมาแน่นอน

จากประสบการณ์ที่จั๊มพ์มี โดยคร่าวๆ ขออธิบายไว้อย่างละเอียดตามข้างต้น สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานก็อย่าน้อยใจตัวเองว่ากินนั่น ทานนี้ไม่ได้ ให้กำลังใจตัวเอง กินอาหารที่มีประโยชน์ ดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี ก็สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้เหมือนคนปกติทั่วไปจ้า สู้ๆ คร้าบ